ดูดไขมันหน้าท้อง เจ็บไหม? รวมทุกเรื่องที่ควรรู้ ก่อนตัดสินใจ
ไม่ว่าจะออกกำลังกาย ควบคุมอาหารก็แล้ว หรือลองกินยาลดน้ำหนักที่ดีที่สุดมากมายแค่ไหน ดูเหมือนว่าซิกส์แพคก็ขึ้นช้าไม่ทันใจ ด้วยเหตุนี้การ ดูดไขมันหน้าท้อง จึงเป็นหนึ่งในขั้นตอนการศัลยกรรมเสริมความงามที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน ผู้คนจำนวนมากทั่วโลกเลือกใช้วิธีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้ที่ต้องการปรับรูปร่างให้ดูดีขึ้น การดูดไขมันหน้าท้องไม่เพียงแต่ช่วยลดไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังเท่านั้น แต่ยังช่วยให้มีหน้าท้องที่แบนราบและมีสัดส่วนที่ดูสมส่วนมากขึ้น อย่างไรก็ตามก่อนที่จะตัดสินใจทำ ควรเข้าใจอย่างเจาะลึก, ประโยชน์ที่ได้รับ และรวมไปถึงผลลัพธ์ที่คาดหวัง เราจะมาเผยข้อมูลในทุก ๆ ด้าน ตั้งแต่กระบวนการ, ความเสี่ยง, ประโยชน์ ไปจนถึงการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าการตัดสินใจของคุณนั้นมาจากข้อมูลที่ชัดเจนและครบถ้วน
ดูดไขมันหน้าท้อง คืออะไร?
การดูดไขมันบริเวณหน้าท้อง หรือที่เรียกกันว่า “Abdominal Liposuction” เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อกำจัดไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณหน้าท้อง วิธีนี้ช่วยให้ได้รูปทรงอย่างแนบเนียนและมีสัดส่วนมากขึ้น การดำเนินการดูดไขมันนี้มักจะใช้เทคนิคต่างๆ รวมถึงการใช้เครื่องมือเฉพาะ ที่สามารถสลายและดูดไขมันออกมาจากชั้นใต้ผิวหนังได้ ซึ่งปัจจุบันมีเทคนิคหลายแบบ เช่น การดูดไขมันด้วยคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ (Ultrasound-assisted liposuction) หรือการใช้แสงเลเซอร์ (Laser-assisted liposuction) ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน และการเลือกใช้วิธีการต้องขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยทั่วไปการดูดไขมันหน้าท้องจะใช้เวลาประมาณ 1-3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันและขนาดของบริเวณที่ต้องการ หรือหากคุณต้องการดูข้อเปรียบเทียบกับวิธีการอื่น ๆ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ CoolSculpting vs ดูดไขมัน
แยกแยะระหว่างชั้นไขมัน
- ไขมันใต้ผิวหนัง เป็นชั้นไขมันที่พบได้ตรงระหว่างผิวหนังและชั้นกล้ามเนื้อ เมื่อร่างกายเกิดการสะสมมากเกินไป ก็จะปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจนจากภายนอก เช่น ตำแหน่งท้อง หรือก้น เมื่อจับด้วยมือจะสัมผัสได้ว่ามีไขมันจำนวนมาก ทำให้ชั้นไขมันนี้เป็นเป้าหมายหลักในการดูดออก เนื่องจากสามารถกำจัดได้ง่ายกว่าชั้นไขมันอื่นๆ ในร่างกาย โดยทั่วไป ไขมันใต้ผิวหนังในบริเวณท้องของผู้ใหญ่ทั่วไปอาจคิดเป็นประมาณ 20-30% ของน้ำหนักตัว ขึ้นอยู่กับอายุ, เพศ, และปัจจัยทางพันธุกรรม
- ไขมันภายในช่องท้อง (ไขมันวิสเซอรัล) ไขมันประเภทนี้ ตั้งอยู่ลึกลงไปในช่องท้องและล้อมรอบอวัยวะภายใน เช่น ตับ ซึ่งไม่สามารถกำจัดได้ด้วยวิธีดูดไขมัน อีกทั้งไขมันประเภทนี้มีผลต่อสุขภาพมากกว่าไขมันใต้ผิวหนัง เนื่องจากสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และภาวะอื่นๆ ได้
ดูดไขมันหน้าท้องมีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด
ด้านรูปลักษณ์และบุคลิกภาพ
หัตถการศัลยกรรมนี้ สามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของคุณได้อย่างมาก โดยรวมแล้วผู้ที่ได้รับการดูดไขมัน รอบเอวลดลงเฉลี่ยระหว่าง 3 ถึง 10 เซนติเมตร แต่ตัวเลขอาจแตกต่างกันไป ตามปริมาณไขมันที่ดูดออกและความแตกต่างของแต่ละบุคคล การเปลี่ยนแปลงนี้ ช่วยให้สวมใส่เสื้อผ้าที่รัดรูป หรือเสื้อผ้าที่เน้นสัดส่วนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ผลลัพธ์เหล่านี้ไม่เพียงช่วยปรับปรุงภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจภายในอีกด้วย
ด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตโดยรวม
นอกเหนือประโยชน์ในด้านความงาม วิธีนี้ก็มีประโยชน์ในด้านสุขภาพเช่นกัน การลดไขมันส่วนเกินในบริเวณหน้าท้อง สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับไขมันส่วนเกิน เช่น โรคหัวใจ และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งมักจะเกิดจากการสะสมของไขมันวิสเซอรัล และยังสามารถลดโอกาสเกิดภาวะดื้ออินซูลิน นอกจากนี้ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่ดูดไขมันมีศักยภาพด้านการเคลื่อนไหว ส่งผลให้ทำกิจกรรมต่างๆ ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะกิจกรรมที่ต้องใช้ความคล่องตัวในการเคลื่อนที่ ทำให้สามารถมีชีวิตที่มีคุณภาพดีขึ้นและลดความเครียดได้ การดูดไขมันยังเป็นการลงทุนที่ส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว โดยช่วยให้รู้สึกดีขึ้นทั้งทางกายและใจ ซึ่งส่งผลให้คุณภาพชีวิตโดยรวมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ขั้นตอนการให้ยาชา
การดูดไขมันที่ท้อง มักใช้วิธีการฉีดยาชาเฉพาะที่เข้าสู่บริเวณที่ต้องการเพื่อลดความเจ็บปวด ยาชาที่ใช้โดยทั่วไป คือ ลิโดเคน ซึ่งเป็นยาชาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายประเภทของการผ่าตัด ช่วยให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชาเป็นเวลาประมาณ 2-4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณและความเข้มข้นของยาที่ใช้ การใช้ยาชนิดนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างการดำเนินการเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการสูญเสียเลือดได้อีกด้วย
ความแตกต่างระหว่าง ใช้ยาสลบและยาชาเฉพาะที่
การดูดไขมันหน้าท้องสามารถดำเนินการได้โดยใช้ยาสลบทั่วไปหรือยาชาเฉพาะที่ โดยแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน:
- การใช้ยาสลบทั่วไป: วิธีนี้ทำให้ผู้ป่วยหลับตลอดการผ่าตัด ข้อดีคือผู้ป่วยจะไม่รู้สึกตัวหรือรู้สึกเจ็บปวดใดๆ ในระหว่างการดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ยาสลบทั่วไปอาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และอาจต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่าหลังการผ่าตัด
- การใช้ยาชาเฉพาะที่: เป็นที่นิยม เนื่องจากมีความเสี่ยงน้อยกว่า และมีอาการข้างเคียงน้อยกว่ายาสลบทั่วไป ผู้ป่วยจะยังคงตื่นตลอดการดำเนินการและสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าหลังการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม อาจรู้สึกเจ็บปวดบ้างเล็กน้อยในระหว่างการดำเนินการ หรือหลังจากยาชาหมดฤทธิ์
ประเมินสุขภาพและความพร้อม
ก่อนการดำเนินการ แพทย์จะทำการตรวจสอบสุขภาพอย่างละเอียด เพื่อประเมินความเหมาะสมในการรับการผ่าตัด การตรวจนี้อาจรวมถึงการตรวจเลือดเพื่อตรวจสอบค่าต่างๆ อย่างเช่น การทำงานของตับและไต, การวัดค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เพื่อประเมินระดับความอ้วน, และการสแกนด้วยอัลตราซาวนด์หรือ CT scan เพื่อทำความเข้าใจถึงการแบ่งสัดส่วนและปริมาณของไขมันในบริเวณท้อง ผลจากการประเมินเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์สามารถกำหนดแนวทางการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับแต่ละบุคคล
เตรียมตัวก่อนดูดไขมัน
- เลือกสถานที่ : เลือกที่ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สถานที่ที่มีการรีวิวหรือประเมินผลที่ดีจากผู้รับบริการอื่นๆ ยังช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลที่เหมาะสม
- สื่อสารกับแพทย์ : พบแพทย์ก่อนการผ่าตัด ควรแจ้งภาวะสุขภาพ และประวัติการแพ้ยาทั้งหมด เพื่อการประเมินที่ถูกต้อง ต้องระบุชัดเจนถึงยาที่ใช้เป็นประจำและยาที่อาจต้องหยุดก่อนการผ่าตัด ซึ่งอาจรวมถึงวิตามินหรืออาหารเสริมที่อาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- งดอาหารและเครื่องดื่มก่อนการผ่าตัด : ผู้ที่จะเข้ารับการดูดไขมันหน้าท้องควรหยุดรับประทานอาหารและเครื่องดื่มตั้งแต่เที่ยงคืนก่อนวันผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงของอาการอาเจียนและการสำลักอาหารเข้าสู่ทางเดินหายใจในระหว่างการให้ยาสลบ ซึ่งสำคัญเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย
- งดใช้ยาบางชนิด : ยาที่อาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพริน และยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่นเดียวกับหัตถการ Carboxytherapy อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด เพื่อลดโอกาสเกิดการเลือดออกระหว่างและหลังการผ่าตัด
- งดสิ่งกระตุ้น : ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนการดำเนินการ เนื่องจากสารเหล่านี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนและอาจทำให้การฟื้นตัวช้าลง
ดูแลตนเองอย่างไรให้พักฟื้นไว
- พักผ่อน: โดยเฉพาะใน 1-2 สัปดาห์แรก การพักฟื้นมีบทบาทสำคัญในการช่วยรักษา และฟื้นฟูร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบการฟื้นฟูตัวของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ใช้ยาตามแพทย์สั่ง: ติดตามการใช้ยาแก้ปวด หรือยาปฏิชีวนะที่แพทย์อาจจ่ายให้ ใช้ยาอย่างถูกต้องจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและป้องกันการติดเชื้อในบริเวณที่ผ่าตัด
- สวมใส่เสื้อผ้าหรือชุดกระชับสัดส่วน: ช่วยในการลดบวมและเสริมให้ผิวหนังกลับมาเข้ารูป ควรสวมใส่ตามคำแนะนำของแพทย์ซึ่งอาจระบุไว้ประมาณ 1-8 สัปดาห์หลังการผ่าตัด
- จำกัดการเคลื่อนไหว: หลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรือกิจกรรมที่ต้องใช้แรงในช่วงสัปดาห์แรก เพื่อป้องกันไม่ให้บริเวณแผลฉีกขาด ระมัดระวังในการเดินหรือยืนเพื่อไม่ให้แผลตึงเกินไป
- ดูแลแผล: ดูแลแผลให้สะอาดและแห้ง หลีกเลี่ยงการให้แผลโดนน้ำในช่วง 2 สัปดาห์แรก ปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลแผล เช่น การเปลี่ยนผ้าพันแผล และทำความสะอาดแผลตามที่แพทย์แนะนำ
- ตรวจสอบและติดตามหลังการผ่าตัด: พบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจสอบแผลและตัดไหมตามกำหนด ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ตรวจสอบความคืบหน้าในการฟื้นตัว และตรวจพบปัญหาใดๆ ได้ทันท่วงที
ข้อเสียและความเสี่ยง
ความเจ็บปวด และวิธีดูแลตัวเอง
หลังจากดูดไขมัน ผู้รับการผ่าตัดอาจเจ็บหน่วง และความอึดอัดตัวในช่วงระยะฟื้นตัวเบื้องต้น ซึ่งอาจต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ในระยะแรกจะรู้สึกเจ็บและอาจมีอาการบวมช้ำบริเวณที่ได้รับการดูดไขมัน แต่ความเจ็บนี้บรรเทาได้ด้วยการใช้ยาแก้ปวดตามที่แพทย์สั่ง ซึ่งต่างจากการลดไขมันด้วย Coolsculpting ที่ไม่ต้องพักฟื้นเลย นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรจำกัดการเคลื่อนไหวหรือยกของหนัก เพื่อลดอาการบวมและให้แผลสมานไวขึ้น ด้วยการสวมใส่เสื้อผ้า หรือผ้าพันแผลชนิดพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหว และป้องกันบริเวณบาดแผลที่ทำศัลยกรรนั้นจำเป็นอย่างมาในช่วยแรกๆ ทั้งนี้ก็เพื่อรักษารูปทรงและลดการเกิดแผลเป็น
ภาวะแทรกซ้อน
แม้ว่าการดูดไขมันเป็นหนึ่งในวิธีการผ่าตัดที่มีความปลอดภัยสูง แต่ก็มีความเสี่ยงบางประการที่ผู้ป่วยควรรับทราบ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ได้แก่ การติดเชื้อ, เลือดออก, การเกิดลิ่มเลือด, หรือการเกิดภาวะช๊อคจากการสูญเสียเลือดมากเกินไป ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ มักเกิดจากการทำงานในบริเวณที่มีไขมันมากหรือการดูดไขมันมากเกินไปในครั้งเดียว นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็น หรือการเปลี่ยนแปลงสีผิวบริเวณที่ดูด ในบางกรณี ผู้ป่วยอาจมีอาการชาชั่วคราว หรือถาวรที่บริเวณการผ่าตัด
วิธีนี้ไม่เหมาะกับใครบ้าง
- ผู้ที่มีระบบไหลเวียนเลือดผิดปกติ อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะประสบปัญหาในระหว่าง หรือหลังการดำเนินการ เช่น การเกิดลิ่มเลือด หรือภาวะช็อก การไหลเวียนเลือดที่ที่ผิดปกติ อาจทำให้การสร้างเนื้อเยื่อใหม่ของร่างกายช้าลง ทำให้พักฟื้นยากเมื่อเทียบกับคนไข้ที่มีสุขภาพแข็งแรง
- มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือ โรคหัวใจ เนื่องจากร่างกายอาจไม่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงหลังการผ่าตัดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร่างกายอาจไม่สามารถปรับปริมาณของเหลว และสมดุลอิเล็กโทรไลต์ได้ทันเวลา ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ ดังนั้น การประเมินสภาพสุขภาพก่อนดำเนินการดูดไขมันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
- มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เกิน 25 จัดอยู่ในกลุ่มที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน ซึ่งการดูดไขมันไม่ได้เป็นวิธีการลดน้ำหนักทั้งหมดและไม่สามารถกำจัดไขมันในปริมาณมากๆ ได้ในครั้งเดียว ผู้ที่มีค่า BMI สูงควรมุ่งเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกายเป็นหลัก เพื่อลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติก่อนการดำเนินการดูดไขมัน ซึ่งจะช่วยให้ผลลัพธ์ของการดูดไขมันหน้าท้องเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อจากการผ่าตัด เนื่องจากร่างกายอาจไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้เต็มที่ นอกจากนี้ การติดเชื้ออาจนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่รุนแรงขึ้น การประเมินความพร้อมของระบบภูมิคุ้มกันก่อนการดำเนินการจึงมีความสำคัญ
การดูดไขมันหน้าท้อง เป็นหนึ่งในวิธีการที่ช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงรูปร่างและลดไขมันส่วนเกินที่ไม่สามารถกำจัดได้ด้วยวิธีอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ตัวช่วยนี้ไม่ใช่การตัดสินใจฉับพลัน หรือไม่ได้ตระหนักถึงผลลัพธ์และความเสี่ยงที่อาจตามมา ก่อนตัดสินใจทำคุณควรปรึกษาแพทย์เพื่อหารือถึงสุขภาพร่างกายทั่วไป และความเหมาะสมในการดำเนินการตามความต้องการ ทั้งนี้ก็เพื่อให้คุณเข้าใจขั้นตอนการทำ ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ และการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดอย่างถูกต้อง ท้ายที่สุดแล้วคุณควรศึกษาก่อนทำ อีกทั้งเตรียมร่างกายให้พร้อม จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีความสุขและพึงพอใจมากที่สุด
คำถามที่พบบ่อย
- การดูดไขมันหน้าท้องเจ็บไหม?อาจมีความเจ็บหน่วง ๆ บ้างเล็กน้อยในระหว่างและหลังการดำเนินการ แต่สามารถระงับได้ด้วยการใช้ยาชาหรือยาสลบ อีกทั้งหลังการผ่าตัด แพทย์จะจ่ายยาแก้ปวดเพื่อช่วยบรรเทาอาการในช่วงการฟื้นตัว
- หลังจากดูดไขมันหน้าท้องแล้วจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานแค่ไหน?ทั้งนี้อาจแตกต่างกันไปตามปริมาณไขมันที่ถูกดูดออก และสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปอาจต้องใช้เวลาฟื้นตัวประมาณ 1-2 สัปดาห์ ก่อนที่จะกลับไปทำกิจกรรมปกติได้ตามเดิม
- การดูดไขมันหน้าท้องสามารถช่วยให้หน้าท้องแบนราบได้หรือไม่?ยืนยันว่าสามารถช่วยลดไขมันส่วนเกินและปรับรูปทรงให้ดูดีขึ้น แต่ไม่สามารถรับประกันได้ว่าหน้าท้องจะแบนราบสนิทตลอดไป เนื่องจากอาจมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความยืดหยุ่นของผิวหนัง และการมีไขมันวิสเซอรัลที่อยู่ในช่องท้องซึ่งการดูดไขมันไม่สามารถกำจัดได้
- มีข้อจำกัดใดบ้างก่อนการตัดสินใจดูดไขมันหน้าท้อง?ก่อนดูดไขมัน ผู้ป่วยควรมีสุขภาพร่างกายที่ดี ไม่มีโรคประจำตัวรุนแรง เช่น เบาหวานหรือโรคหัวใจ และมีค่า BMI ที่ไม่สูงเกินไป การปรึกษากับแพทย์เพื่อประเมินสภาพและความเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงควรมีความคาดหวังที่เป็นจริงเกี่ยวกับผลลัพธ์
อ้างอิง :
- Alysa Hullett, What to Know About Liposuction, Healthline, April 11, 2023, https://www.healthline.com/health/liposuction.
- Liposuction, Cleveland Clinic, January 10, 2022, https://my.clevelandclinic.org/health/treatments/11009-liposuction.
- Liposuction, Mayo Clinic, April 11, 2023, https://www.mayoclinic.org/tests-procedures/liposuction/about/pac-20384586.