Carboxytherapy คือ สลายไขมัน ขจัดเซลลูไลท์ เผยผิวเรียบเนียนกระชับ

Carboxytherapy คือ ? สลายไขมัน ขจัดเซลลูไลท์ เผยผิวเรียบเนียนกระชับ

นยุคที่ความสวยงามและการบำรุงผิวเป็นเรื่องสำคัญเท่ากับการดูแลสุขภาพ Carboxytherapy คือ อีกหนึ่งเทคนิคหัตถกรรมที่ได้รับความนิยมสูงสำหรับการปรับปรุงและฟื้นฟูสภาพผิว โดยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และการผลิตคอลลาเจนกับอีลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์และเต่งตึง ผลลัพธ์ที่ตามมาจากการรักษาด้วยวิธีนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผิวหนังของคุณดูดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ไขปัญหาผิวพรรณอย่างเซลลูไลท์และรอยแตกลาย ซึ่งเป็นปัญหาที่หลายคนต้องการหาทางแก้ไขอย่างจริงจัง ในบทความนี้จะเป็นคู่มือที่แบ่งปันข้อมูลที่ครอบคลุมทั้งหมด ตั้งแต่กระบวนการ, ผลลัพธ์ที่คาดหวัง, ข้อควรระวัง และผลข้างเคียง เพื่อให้ท่านเข้าใจและพิจารณาถึงความเหมาะสมในการเลือกใช้วิธีนี้


Carboxytherapy คือ? นวตกรรมรักษาโรคสู่ความงาม

Carboxytherapy คือ ?นวตกรรมรักษาโรคสู่ความงาม

ประวัติความเป็นมา

คาร์บ็อกซี่ เป็นวิธีการรักษาที่ใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังหรือใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ วิธีการนี้ถือกำเนิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศสในช่วงทศวรรษที่ 1930 ใช้เพื่อรักษาโรคหลอดเลือดแข็งตัว เนื่องจากค้นพบว่าก๊าซนี้ สามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดได้ดี ต่อมาได้มีการพัฒนาใช้ในด้านความงาม เช่น การลดเซลลูไลท์และรอยแตกลาย โดยพัฒนาให้เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการรักษาสภาพผิวที่หลากหลาย

วิธีการทำงานและหลักการ

ทำงานโดยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปใต้ผิวหนัง ก๊าซตาร์บอนจะกระตุ้นให้ร่างกายตอบสนอง ด้วยการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังบริเวณที่ฉีด เนื่องจากร่างกายจะรับรู้ว่ามี CO2 เกินมาตรฐาน จึงกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนเลือดเพื่อขนส่งออกซิเจนมาเป็นการทดแทน ซึ่งจะช่วยให้เนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพซ่อมแซมตัวเองได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ยังช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ทำให้ผิวพรรณกระชับและเรียบเนียนขึ้น

การศึกษาหลายชิ้นได้แสดงให้เห็นว่าคาร์บ็อกซี่ มีประสิทธิภาพในการลดไขมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดเซลลูไลท์ การศึกษาในปี 2016 ได้รายงานว่า ผู้เข้าร่วมทดลองที่ได้รับการรักษาด้วย Carboxytherapy ที่ขาและหน้าท้อง มีการลดเซลลูไลท์จากระดับ III ลงไประดับ II อย่างมีนัยสำคัญหลังจากรับการรักษาเพียง 10 ครั้ง นอกจากนี้ยังช่วยลดความลึกของรอยแตกลายและช่วยให้ผิวหนังแข็งแรงขึ้นได้ด้วยการเพิ่มการสร้างเนื้อเยื่อใหม่

คาร์บ็อกซี่ เมื่อเทียบกับ CoolSculpting และ ดูดไขมัน

คาร์บ็อกซี่ เป็นวิธีการที่เน้นการฟื้นฟูคุณภาพผิวและการลดเซลลูไลท์ด้วยการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ซึ่งต่างจาก CoolSculpting vs ดูดไขมัน ที่เน้นการลดไขมันล้วนๆ โดย Cool Sculpting ใช้ความเย็นในการทำให้เซลล์ไขมันตายโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเหมาะกับการลดไขมันเล็กๆ น้อยๆ ในขณะที่การดูดไขมันเป็นวิธีการรุกรานมากกว่าและสามารถกำจัดไขมันปริมาณมากได้ในครั้งเดียว แต่มีความเสี่ยงและต้องใช้เวลาพักฟื้น Carboxytherapy จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงลักษณะผิวโดยไม่ต้องลดไขมันปริมาณมาก และมีความต้องการในการลดผลกระทบจากเซลลูไลท์และรอยแตกลายบนผิวหนัง


Carboxytherapy ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

Carboxytherapy ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

ลดเซลลูไลท์และไขมันส่วนเกิน

คาร์บ็อกซี่ เป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพสูง ในการรักษาเซลลูไลท์และการลดไขมันส่วนเกิน โดยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและการเพิ่มการเผาผลาญไขมันในบริเวณนั้นๆ การศึกษาพบว่าผู้รับการรักษาสามารถเห็นการลดลักษณะเซลลูไลท์ได้มากถึง 75% หลังจากรับการรักษาต่อเนื่องประมาณ 10 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 1 สัปดาห์

ปรับปรุงความยืดหยุ่นของผิวและลดริ้วรอย

ช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญต่อความยืดหยุ่นและความเต่งตึงของผิว การศึกษาได้แสดงให้เห็นว่าการรักษา สามารถช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจนได้ถึง 30% ภายใน 6 เดือน นอกจากนี้ยังช่วยลดเลือนริ้วรอยและทำให้ผิวหนังดูอ่อนเยาว์ขึ้น

รักษาแผลเป็นและรอยแตกลาย

นอกจากเรื่องกำจัดเซลลูไลท์และลดไขมัน ยังช่วยในการรักษาแผลเป็นและรอยแตกลาย โดยการฉีดก๊าซคาร์บอนทำให้เกิดการกระตุ้นการผลิตเซลล์ใหม่และเสริมสร้างเนื้อเยื่อที่เสียหาย การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการรักษาด้วย Carboxytherapy สามารถลดลักษณะและความลึกของแผลเป็นและรอยแตกลายได้ถึง 50% หลังจากรับการรักษาต่อเนื่องกันประมาณ 8-12 ครั้ง

บริเวณที่สามารทำได้

  • ขาและต้นขา : บริเวณนี้เป็นที่นิยมสำหรับการลดเซลลูไลท์และไขมันส่วนเกิน การฉีดก๊าซช่วยลดลักษณะ “ผิวเปลือกส้ม” โดยเร่งการไหลเวียนของเลือดและกระตุ้นการสลายตัวของเซลล์ไขมัน ผลการรักษาจะเห็นได้ชัดเจนหลังจากการรักษา 5-10 ครั้ง
  • หน้าท้อง : ทุกคนทราบว่าไขมันหน้าท้องนั้นลดยากมาก ทำให้บริเวณหน้าท้องนิยมใช้สำหรับลดไขมันส่วนเกินและปรับปรุงผิวหนังที่หย่อนคล้อยหลังการคลอดหรือการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว การฉีดก๊าซ CO2 ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันและส่งเสริมการผลิตเนื้อเยื่อใหม่ ควรทำการรักษาประมาณ 6-8 ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ต่อเนื่อง แต่ถ้าหากต้องการผลลัพธ์ทันที เราแนะนำการดูดไขมันหน้าท้อง
  • คอและลำคอ : ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวและลดเลือนริ้วรอยบนคอ การรักษาในบริเวณนี้จะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนทำให้ผิวดูเรียบเนียนและกระชับขึ้น ผู้รับการรักษาควรได้รับการรักษาอย่างน้อย 4-5 ครั้งเพื่อเห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • ใบหน้า : เป็นที่นิยมสำหรับการลดริ้วรอยและทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ โดยเฉพาะรอบดวงตา เพื่อลดรอยคล้ำและถุงใต้ตา การฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและลดการคั่งของน้ำซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของรอยคล้ำใต้ตา ผู้ที่ได้รับการรักษามักเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังจากการรักษาประมาณ 5-6 ครั้ง

กระบวนการทำคาร์บ็อกซี่

กระบวนการทำคาร์บ็อกซี่

1. ขั้นตอนการเตรียมตัว

การเตรียมตัวเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้รับการรักษาได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด คุณควรทำความสะอาดบริเวณที่จะรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และควรหลีกเลี่ยงการใช้ครีม หรือผลิตภัณฑ์บางอย่างที่อาจจะทำให้เกิดการแพ้หรืออาการระคายเคืองก่อนการรักษา 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการรักษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาและลดโอกาสของผลข้างเคียง

2. ระหว่างฉีดก๊าซคาร์บอน

แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะเริ่มจากการทำความสะอาดผิวและอาจใช้ยาชาที่บริเวณที่จะรักษา โดยมีการใช้เข็มเบอร์ 30 แทงเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังเพื่อฉีดก๊าซใต้ผิวหนัง การฉีดนี้จะควบคุมด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า flow regulator เพื่อให้แน่ใจว่าปริมาณก๊าซที่ฉีดเข้าไปเหมาะสม ขั้นตอนการฉีดก๊าซจะใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่รักษา ระหว่างการฉีดผิวหนังอาจมีการพองตัวขึ้นและผู้รับการรักษาอาจรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย หลังจากก๊าซถูกฉีดเข้าไปแล้ว เซลล์ไขมันที่ถูกเจาะจะแตกตัวออกและจะถูกขับออกมาทางเหงื่อ ปัสสาวะ หรืออุจจาระ ซึ่งอาจมีความรู้สึกเหมือนมีลมหรือก๊าซไหลวนอยู่ใต้ผิวหนังในระหว่างนั้น

3. การดูแลหลังการรักษา

ควรงดการแช่น้ำหรือว่ายน้ำเป็นเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดเชื้อและเพื่อให้บริเวณที่รักษาได้ฟื้นตัว การนวดเบาๆ บริเวณที่รักษาอาจช่วยให้ก๊าซกระจายตัวได้ดีขึ้นและลดอาการบวม ผู้รับการรักษาควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมระคายเคือง ที่บริเวณที่รักษาเป็นเวลาอย่างน้อย 48 ชั่วโมง

ควรทำถี่แค่ไหน?

ควรทำต่อเนื่องโดยมีระยะห่างประมาณ 1 สัปดาห์ระหว่างการรักษาเพื่อเห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สำหรับผลลัพธ์ที่ยั่งยืน ผู้รับการรักษาอาจต้องทำการรักษา 6-10 ครั้ง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและบริเวณที่ต้องการรักษา การซื้อตรวจเพิ่มเติมกับแพทย์หลังจากการรักษาเต็มรูปแบบเสร็จสิ้นจะช่วยให้ได้รับการประเมินและปรับปรุงผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง


ผลข้างเคียงทั่วไปและข้อควรระวัง

ผลข้างเคียงทั่วไปและข้อควรระวัง

  • ความรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยที่บริเวณการฉีด : อาจเกิดความรู้สึกเจ็บหน่วงเล็กน้อยที่บริเวณที่ฉีด แต่อาการนี้มักจะหายไปอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาทีหลังฉีด ความรู้สึกนี้เกิดจากการที่เข็มเจาะผ่านผิวหนังและก๊าซถูกฉีดเข้าไปในชั้นใต้ผิวหนัง หากคุณกลัวเจ็บ ก็สามารถใช้ยาชาที่บริเวณที่จะฉีดก่อนการรักษาได้เช่นกัน หรือถ้ากลัวเข็มมาก ๆ ลองวิธีแบบใช้ความเย็นอย่าง Coolsculpting
  • รอยช้ำและบวม : หลังจากการฉีด อาจทำให้เกิดรอยช้ำและบวมที่บริเวณนั้น ๆ รอยช้ำเหล่านี้เกิดจากการที่เข็มเจาะเข้าไปในผิวหนังและหลอดเลือดดำ ซึ่งอาจทำให้เลือดไหลออกมาใต้ผิวหนังได้ แต่มักจะหายไปภายใน 1 สัปดาห์ และสามารถลดอาการบวมได้โดยการประคบเย็นหลังฉีด
  • ความรู้สึกคล้ายมีแก๊สอยู่ใต้ผิวหนัง : บางครั้งผู้รับการรักษาอาจรู้สึกว่ามีแก๊สสะสมอยู่ใต้ผิวหนังหลังจากการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ความรู้สึกนี้เกิดจากก๊าซที่ยังไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนของร่างกายอย่างเต็มที่ และโดยปกติจะค่อยๆ หายไปเองเมื่อก๊าซเริ่มถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบ ซึ่งอาจใช้เวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง การนวดเบาๆ บริเวณที่ฉีดช่วยกระตุ้นให้ก๊าซกระจายตัวและดูดซึมเร็วขึ้น

ใครไม่ควรทำหัตถการนี้?

  • กำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตร : เราไม่แนะนำสำหรับหญิงตั้งครรภ์และหญิงที่กำลังให้นมบุตร เนื่องจากไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะยืนยันถึงความปลอดภัยของการใช้ก๊าซคาร์บอนในกลุ่มนี้ การศึกษาทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องยังมีจำนวนที่น้อยมาก ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของทั้งมารดาและเด็ก แนะนำให้การหลีกเลี่ยงการรักษาด้วยวิธีนี้จะดีกว่า
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด หรือมีประวัติโรคหัวใจ : เพราะการรักษาวิธีนี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด หรือมีประวัติโรคหัวใจ การฉีดก๊าซคาร์บอน สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่อาจส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดและความดันภายในหลอดเลือด ซึ่งสำหรับผู้ที่มีสภาพเหล่านี้ อาจนำไปสู่อาการแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
  • มีประวัติแพ้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ : ถึงแม้ว่าการแพ้จะเป็นเรื่องที่หายาก แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ผู้ที่มีประวัติการแพ้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ควรหลีกเลี่ยงการรับการรักษา การทดสอบการแพ้ก่อนการรักษาเป็นสิ่งที่แพทย์อาจแนะนำเพื่อตรวจสอบว่าผู้รับการรักษามีความเสี่ยงต่อการแพ้หรือไม่
  • เป็นโรคเบาหวานหรือกลุ่มเสี่ยง : เนื่องจากการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการไหลเวียนของเลือด ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้ การศึกษาพบว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการเยียวยาแผลและฟื้นฟูเนื้อเยื่อในผู้ป่วยเบาหวาน
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจหรือมีโรคปอดเรื้อรัง : เช่น โรคหืดหรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) การใช้ หัตถการนี้อาจไม่เหมาะสม การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในความดันและปริมาณก๊าซในปอดซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพการหายใจโดยรวมของผู้ป่วย

เมื่อคุณได้อ่านข้อมูลทั้งหมดแล้ว ก็จะทราบว่าการทำคาร์บ็อกซี่เป็นเทคนิคทางการแพทย์ที่นำเสนอวิธีการฟื้นฟูและปรับปรุงสภาพผิวพรรณ ปฎิกิริยาที่ร่ากายทำร่วมกับก๊าซคาร์บอนกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ชั้นผิวได้รับออกซิเจนมาขึ้น อันเป็นผลดีต่อการสร้างอิลาสตินในร่างกาย ผลลัพธ์จากการรักษานี้ได้แก่ ผิวที่เรียบเนียนขึ้น, การแ ทำให้เห็นได้ชัดว่า วิธีนี้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพและลักษณะของผิวพรรณอย่างเเท้จริง


คำถามที่พบบ่อย

1. Carboxytherapy คืออะไร?
เป็นวิธีการรักษาด้วยการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและเพิ่มการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงสภาพผิวให้ดูกระชับและอ่อนเยาว์ขึ้น นอกจากนี้ยังใช้ในการรักษาเซลลูไลท์, รอยแตกลาย, และไขมันส่วนเกินอีกด้วย

2. คาร์บ็อกซี่ใช้เวลาในการรักษานานแค่ไหน?
แต่ละครั้งของการรักษาใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการรักษา โดยปกติแล้ว การรักษาจะทำต่อเนื่องกันหลายครั้ง โดยมีระยะห่างประมาณหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งจำนวนครั้งในการรักษาขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและผลลัพธ์ที่ต้องการ

3. ผลข้างเคียงของคาร์บ็อกซี่มีอะไรบ้าง?
ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป คือ รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย, รอยช้ำ, และบวมที่บริเวณการฉีด โดยส่วนใหญ่อาการเหล่านี้จะหายไปเองภายในไม่กี่วัน และอาการที่เกิดขึ้นนั้นมักไม่รุนแรงจนต้องหยุดการรักษา

4. ใครบ้างที่ไม่ควรทำคาร์บ็อกซี่?
วิธีการนี้ไม่เหมาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือหญิงให้นมบุตร, ผู้ที่มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด, ผู้ที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือด, ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจหรือโรคปอดเรื้อรัง, และผู้ที่มีประวัติแพ้ก๊าซคาร์บอน ก่อนตัดสินใจรับการรักษาควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมและความปลอดภัยทุกครั้ง


อ้างอิง

  1. Aubrey Bailey, PT, DPT, CHT, What Is Carboxytherapy & How Does It Work?, VeryWell Health, October 17, 2022, https://www.verywellhealth.com/carboxytherapy-5218184.
  2. An overview of the role of carboxytherapy in dermatology, Onlinelibrary, March 31, 2023, https://onlinelibrary.wiley.com/doi/full/10.1111/jocd.15741.
  3. Ana Gotter , What You Should Know About Carboxytherapy, Healthline, April 13, 2022, https://www.healthline.com/health/carboxytherapy.

Similar Posts